วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เดินเที่ยวในเมือง Kota Kinabalu, เที่ยวหมู่บ้าน Mari Mari Cultural Village

วันนี้ตามแพลนเดิมกะว่าจะไปหาเช่าเรือไปเที่ยวเกาะต่างๆแถวๆเมือง โคตาคินาบาลู ตามที่เคยอ่านตามบล็อกต่างๆที่ให้รายละเอียดว่าเราสามรถเช่าเหมาลำเรือไปเที่ยวหรือดำน้ำดูปะการังได้ที่เกาะซาปี หรือเกาะมานูกัน หรือเกาะอื่นๆด้วยครับแล้วแต่ราคาจะตกลงกัน 


เช้านี้ก็ตื่นสายหน่อย ตื่นมาก็สั่งหาหารเช้าที่โรงแรมกิน อาหารเช้ารวมกับค่าห้องแล้วนะคุ้มมาก เขาก็จะมีแฮมกับไข่ดาว และซอสถั่วให้อย่างนี้ครับ ส่วนชา กาแฟ หรือขนมปังก็จัดการกันเองเอง


อยากจะบอกว่าที่ด้านหน้าโรงแรม Rainforest Lodge ที่เราพักนี้ก็มีที่แลกเงินตราต่างประเทศด้วย แลกเงินไทยเป็นมาเลย์ได้เลยครับ ซึ่งถ้าจะแลกตังค์ก็ควรจะแลกเสียตั้งแต่ที่โคตาคินาบาลู เพราะถ้าไปที่อื่นอย่างที่ซานดากันหาที่แลกยากมาก เรทแลกก็ไม่ดีด้วย เงินไทยก็ไม่มีให้แรกด้วยครับ 


ให้ดูป้าย อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆเป็นมาเลเซียริงกิตนะครับ


เดินออกมาทางด้านหลังโรงแรม Rainforest Lodge ก็จะเจอถนนอีกเส้นหนึ่ง และอีกฟากถนนจะเห็นหอนาฬิกาแห่งนี้ครับ ชื่อว่าหอนาฬิกาอัทคินสัน (Atkinson Clock Tower) ซึ่งหอนาฬิกาแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารสถานที่เก่าแก่ของเมืองโคตาคินาบาลูด้วยครับ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หอนาฬิกาแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ Francis George Atkonson ซึ่งเป็นนายอำเภอคนแรกของโคตาคินาบาลูครับ 


อีกด้านหนึ่งจะเห็นอาคารแบนๆ อย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าอาคารอะไร แต่ก๋น่าจะเป็นสถานที่ราชการครับ 


ให้ดูอีกรูปว่าอาคารแห่งนี้เป็นคล้ายๆแหลมด้านหน้าแต่ขยายออกใหญ่ไปด้านหลังครับ คล้ายๆทรงสามเหลี่ยม 


เดินออกมาอีกนิดถัดมาจากหอนาฬิกาก็จะเจอป้ายบอกทางขึ้น Observation Tower แต่ที่จริงทางนี้ไกลมาก ใช้สำหรับรถเท่านั้น เพราะทางเดินขึ้น เราสามารถขึ้นไปทางด้านหลังของหอนาฬิกา Atkinson ได้ครับ แต่ก็ยังไกลอยู่ดี พวกเราเดินขึ้นทางหอนาฬิกา แต่เดี๋ยวจะบอกทางที่เดินใกล้กว่านี้ครับ เรารู้ทางตอนเดินลงแล้ว 


ขั้นไปทางด้านหลังหอนาฬิกาสักพักก็จะมีป้ายบอกทางไป Observation Tower หรือ Signal Hill เป็นระยะๆ  ครับ 


สุดท้ายเราก็เดินมาถึงครับ  Observation Tower หรือ Signal Hill เดินไกลเหมือนกันครับ เกือบกิโลแน่ะ ลิ้นห้อยเลย กว่าจะถึง ร้อนด้วย แต่ทางเดินเป็นถนนที่ปกคลุมไปด้วยร่มไม้ครับ แต่ก็ร้อนอยู่ดี เสียพลังงานในการเดินไปเยอะเลย (ที่ฐานด้านล่างของ Observation Tower หรือ Signal Hill จะมีห้องน้ำด้วยครับ สะอาดพอประมาณ)


ขึ้นมาแล้วก็จะเห็นวิวเมืองโคตาคินาบาลูอย่างนี้ครับ เห็นวิวสวยๆก็พักผ่อนให้หายเหนือยครับ ข้างบินนี้ลมพัดเย็นสบายมากเลยครับ


แถมอีกรูปครับ อันนี้อีกด้านหนึ่งซึ่งจะมองเห็นทะเลครับ ตัวเมืองเขาเล็กมากจริงๆ 


อีกรูปครับ มุมนี้ก็จะเห็นทะเลอยู่ลิบๆ 


ด้านข้าง Observation Tower หรือ Signal Hill เป็นถนนที่เราเดินขึ้นมาเมื่อกี้ครับ แต่ด้านนี้ไปออกถึงมัสยิดใหญ่ใจกลางเมืองโคตาคินาบาลูได้ครับ 


ชมวิวพอหอมปากหอมคอ ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินลงครับ เดินย้อนกลับทางเดิม ที่เราเดินขึ้นมานิดหน่อย ก็จะเจอทางลงครับ 


ตรงปลายทางที่เราเดินลงมาก็จะเจอป้ายแบบนี้ ซึ่งก็คือทางขึ้นที่เดินใกล้กว่าทางที่เรามาจากหอนาฬิกาเยอะมาก ที่จริงระยะทางพอๆกัน แต่จากหอนาฬิกาเมื่อกี้ เราเดินขึ้นภูเขาด้วย จริงเนื่อยกว่าขึ้นทางนี้เยอะครับ 


จากป้ายที่รูปบนก่อนหน้านี้ ถ้าเรามองไปด้านหน้าขวามือเราก็จะเห็นแบบนี้ 


ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นโรงแรม Hotel Garden Budget Hotel ครับ ดูสะอาดดีโรงแรมนี้ แต่ห้องแพงกว่าที่ Rainforest Lodge 


เดินเล่นเรื่อยเปื่อยแถวนั้น ไปเจอร้านเบเกอรี่ มีขนมให้เลือกซื้อกินมากมายครับ 


ด้านหน้าของร้านเบเกอรี่ครับ 


เดินมาอีกนิดจะเจอห้องน้ำสาธารณะ และด้านบน บนภูเขาคือ Observation Tower หรือ Signal Hill  ที่เราเพิ่งขึ้นไปชมมาครับ


อาคารสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งรัฐซาบาห์ครับ (Sabah Tourism Building) บนถนนชื่อJalan Gaya ( Jalan ภาษามาเลย์แปลว่าถนนนะครับ) สร้างในปี คศ.1916 ครับ


เจอห้างใหญ่ชื่อ Suria Sabah เดินเข้าไปตากแอร์ซะหน่อย 


เดินห้างอยู่ตั้งนาน ได้เสื้อมาคนละตัวสีเขียว เพราะตั้งใจจะใส่เสื้อเป็นทีมกัน ออกมาจากห้างก็เดินตรงไปทางท่าเรือครับ ซึ่งอย่างที่บอกตอนต้นว่าที่ท่าเรือนี้ เราสามารถเหมาเช่าเรือไปเที่ยวเกาะต่างๆได้ หรอถ้าเราจะเดินทางไปประเทศบรูไนก็เดินทางได้ที่เรือตรงท่าเรือนี้ครับ เราก็ซื้อทัวร์จากตรงนี้จากร้านที่เห็นในรูปครับ ชื่อ Grand Kinabalu Tours คือทัวร์ไปเที่ยวหมู่บ้านชนเผ่ามารี-มารี ครับ (Mari-Mari Cultural Village) ราคาทัวร์นี้ที่โรงแรม Rainforest Lodge ขายหัวละ 150 ริงกิต ที่ท่าเรือขาย 120 ริงกิต เจ๊ปลาของเราต่อราคาได้อีกในราคา 110 ริงกิตครับ แล้วก็เดินไปซื้อข้าวกินข้างใน Food Court ในรูปข้างบนนี้ครับ


ภายในอาคารที่ท่าเรือจะเป็นห้องขายตั๋ว รวมทั้งบริษัททัวร์ต่างๆครับ


วิวจากท่าเรือครับ 


อีกรูปครับ ท่าเรือ 


รูปนี้มองจากท่าเรืออกไปด้านนอกครับ 


ตรงทางออกท่าเรือมีร้านอาหารชื่อ Sino Thai ด้วยครับ เป็นร้านอาหารไทย แต่ตอนไปเห็นปิดอยู่ อ่านชื่อร้านอยู่ตั้งนาน เพราะไม่คิดว่าจะเป็นตัวอักษรประดิษฐ์เลียนแบบภาษาไทย หลังจากนั้นเราเดินกลับมาอาบน้ำ ที่โรงแรม Rainforest Lodge เพื่อรอไปทัวร์ที่นัดไว้ตอน 5 โมงเย็นครับ 


5 โมงเย็นแล้ว รถยังไม่มารับ (สงสัยมันโมโหที่เราไปต่อรองราคามันเยอะ) พวกเราก็หงุดหงิดเพราะเลยเวลารับไปตั้ง 20 นาที 5โมง 20 นาที คนขับมันก็มารับ (ไม่ขอโทษที่มาสายเลยนะ) 


แล้วก็พาเราออกไปทางนอกเมืองเข้าหมู่บ้าน Mari -Mari Cultural Village พอไปถึงทัวร์เขาก็เริ่มอธิบายกันแล้ว น่าหมั่นไส้ไอ้คนขับรถมาก ทำให้เราพลาดโอกาสฟังคำบรรยายเบื้องต้น


ทัวร์นี้จะแยกเป็นกรุ๊ปย่อยๆครับ กรุ๊ปละประมาณ 10 - 15 คน เราได้อยู่กับกรุ๊ปคนสิงคโปร์กับลุงป้าฝรั่งอีกคู่หนึ่ง น้องคนนี้เป็นไกด์ของกรุ๊ปเราครับ 


จุดแรกเป็นศาลาที่แสดงการเก็บน้ำผึ้งไว้กิน แล้วก็เสริร์ฟน้ำผึ้งให้เราชิมด้วยครับ


น้ำผึ้งในกระบอกไม้ไผ่อันเล็กๆครับ


หลังจากนั้นน้องไกด์ก็พาพวกเราเดินไปที่บ้านชนเผ่าหลังแรก ชื่อว่า เผ่า Rangus ครับ โดยเผ่า Rangus นี้จะเป็นเผ่าที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในรัฐซาบาห์ รองจากเผ่า Kadazandusun, เผ่า Bajau และ เผ่า Murut ตามลำดับครับ คำว่า Rangus มาจากชื่อของ Tomborungus ซึ่งเป็นลูกชายของ Aki Ragang ที่อาศัยอยู่บนยอดเขาคินาบาลู


ภายในบ้านของเผ่า Rangus จะมีน้องๆ แต่งตัวเป็นชนเผ่านี้มานั่งแสดงการจุดไฟด้วยกระบอกไม้ไผ่ครับ


ภายในบ้านของเผ่า Rangus จะมีเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ วางอยู่ทั่วไป บ้านก็มีลักษณะยาวๆ และมีห้องหลายห้องข้างในด้วย 


น้องที่สาธิตการจุดไฟก็ถูไม้ไผ่ และเศษไม้ไผ่มาเป็นเชื้อเพลิง ก็จุดไฟได้ตามที่เราเห็นครับ


อันนี้เป็นชุดหมากพลูครับ มีหมากด้วย เหมือนบ้านเราเลย 


เห็นมั้ยครับว่าบ้านของชนเผ่านี้เขายาวมากจริงๆ


บ้านของเผ่า Dusun ครับ โดยเผ่า Dusun นี้จะมีเผ่าแยกย่อยไปอีกหลายเผ่าที่พูดภาษาเดียวกันในซาบาห์ แต่ Dusun จะเป็นเผ่าใหญ่สุดในซาบาห์ครับ 


ภายในบ้านของเผ่า Dusun จะมีน้องคนหนึ่งสาธิตวิธีการทำเหล้าเถื่อน 555 เหล้าพื้นบ้านของเขาครับ ก็เห็นมีการเอาข้าวมาหมัก ทำให้เป็นแป้ง แล้วก็เอาไปต้ม เอามาให้เราดม กลิ่นคล้ายๆสาโทบ้านเราครับ


ในบ้านของ Dusun จะมีห้องคล้ายๆชั้นลอย เพื่อให้ลูกสาวของบ้านอยู่บนนี้ เพราะเขาหวงลูกสาว กลัวเผ่าอื่นจะมาทำร้าย 


ป้าฝรั่งดูจะสนใจการทำเหล้าเป็นพิเศษ 


ออกมาจากข้างนอกบ้าน Dusun น้องไกด์ก็บอกให้เราปรุงอาหารใส่กระบอกไม้ไผ่ แล้วก็ให้เขียนชื่อ ที่กระบอกไม้ผ่ของแต่ละทีม เขาจะเอาไปปรุงให้เรากินทีหลัง (เลือกเครื่องปรุงใส่ตามใจเราครับ มีเนื้อไก่ มีผักต่างๆ) ทึมเรา เจ๊ปลาก็จัดการทันทีครับ จะกินได้มั้ยเนี่ย อิๆ


อีกมุมหนึ่งไกล้ๆกัน เขาก็ให้เรากินเหล้าเถื่อนที่เขาต้มครับ รสชาติ ไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่คิดครับ 


ถัดมาก็เป็นบ้านของเผ่า Lundayeh ครับ ที่เห็นในรูปคือเล้าไก่ครับ


หลังบ้านจะมีน้องคนนี้สาธิตการทำเสื้อผ้าจากเปลือกไม้มาใส่นุ่งห่มครับ 


เผ่า Lundayeh มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า Lun- Bawang เป็นเผ่าที่อยู่ห่างไกล ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของซาบาห์  ใกล้กับรัฐซาราวัก และส่วนของ Ulupadas ในรัฐกาลิมันตันของอินโดนีเซีย บ้านของเผ่านี้มีหัวกะโหลกของบรรพบุรุษไว้ปกป้องลูกหลาน แต่ที่เห็นน่าจะเป็นกะโหลกปลอมครับ


น้องคนนี้ที่สาธิตการทำเชือกและเสื้อผ้าจากเปลือกไม้ครับ


อีกบ้านหนึ่งเป็นของ Bajau และฝั่งตรงข้ามมีป้าคนหนึ่งมาทำขนมให้พวกเรากินครับ เป็นขนมที่ทำจากแป้ง    คล้ายๆ ขนมลาของปักษ์ใต้ แต่เขาจะพับเป็นสามเหลี่ยม กินกรอบๆ หวานๆ 


ป้ายหน้าบ้านของเผ่า Bajau ครับ เผ่า Bajau เป็นเผ่าใหญ่อันดับสองรองจากเผ่า Kadazandusun ซึ่งเผ่า Bajau นี้เดิมทีเป็นชนเผ่าที่มาจากฟิลิปปินส์ และเกาะสุลาเวสี แต่อพยพมาอยู่บอร์เนียวเมื่อประมาณ 500 กว่าปีก่อน 


บ้านของเผ่า Bajau ก็ยาวไม่แพ้บ้านอื่นๆเลยครับ 


ลืมบอกไปครับว่าข้างๆป้าที่ทอดขนมให้เรากินนั้นจะมีน้ำใบเตยให้เรากินด้วย มุมนี้เรียกว่า Air Pandan ภาษามาเลย์ ก็แปลว่าน้ำใบเตย ครับผม 


สุดท้ายของชนเผ่าต่างๆ ไกด์ก็บอกให้เราเดินไปเงียบๆ ห้ามส่งเสียงดัง ปรากฏว่ามีน้องๆ แต่งตัวเป็นชนเผ่าที่ล่าหัวมนุษย์มาหยอก โห่เสียงดัง บุกเข้ามารอบทิศทางให้พวกเราตกใจเล่น เลยถ่ายรูปซะเลย


หน้าตาเหมือนไม่ค่อยอยากถ่ายเลยนะ อันนี้แอบถ่าย 


อันนี้ตั้งใจถ่ายจริงๆ 


หน้าบ้านน้องเขาแสดงวิธีการเป่าลูกดอกของเผ่าล่าหัวมนุษย์ 


อันนี้คือเป้าครับ 


เข้าไปในบ้านของเผ่าล่าหัวมนุษย์ ที่ตรงกลางลานบ้านของเขาจะมีแผ่นไม้ใหญ่ๆ ไว้ร้องรำทำเพลงที่สามารถทำหน้าที่คล้ายๆ กับเป็นสปริงได้ด้วย ให้น้องๆพวกนี้กระโดษขึ้นไปแตะเครื่องรางด้านบน สูงมากเลยครับ แต่น้องมันกระโดดถึง สุดยอดจริงๆ ดูในวิดีโอประกอบนะครับ 


น้องนี้ต้องกระโดดหลายครั้งมากครับ เพื่อให้เราได้ถ่ายรูป ได้มารูปหนึ่ง กดทันพอดี 


เอาอีกรูปนะครับ จะได้เห็นว่ามันสูงนะครับ 



อันนี้เป็นวิดีโอที่น้องเขากระโดดครับ 


ส่วนอันนี้น้องๆเขาให้พวกเรา มาร้องรำทำเพลงกับเขาลงกลางลานบ้านครับ มีให้ลองกระโดดด้วยครับ แต่ไม่มีใครกระโดดถึงครับ 


สุดท้ายก็มีน้องๆ มาสัก เฮ็นน่าทัตทู ให้ครับ 


ลายไม่เหมือนกันด้วยนะ แต่ละคน 


เยี่ยมชมครบทุกบ้านแล้ว ไกด์ก็บอกให้เดินไปด้านหลังซึ่งเป็นเวทีแสดงการร่ายรำพื้นเมืองของชนเผ่าครับ ฟังเสียงดนตรีเสียงฆ้อง เสียงกลองก็เร้าใจสุดๆแล้วครับ 


นางระบำก็เริ่มแสดงแล้วครับ กล้องเจ้ากรรม ทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรเลยครับ 



ถ่ายรูปไม่ได้ก็ถ่ายวิดีโอแทนครับ 


อันนี้เต้นลาวกระทบไม้ครับ ฉบับแบบชนพื้นเมืองของซาบาห์ อิๆๆ


มีการเชิญให้นักท่องเที่ยวมาลองเต้นลาวกระทบไม้นี้ด้วยครับ แต่ไม่มีใครเต้นได้ครับ โดนไม้หนีบ 555


สุดท้ายน้องๆก็ยืนโพสท่าให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครับ 



ส่วนหลวงไข่ ป้าอ้อย เจ๊ปลา ก็ได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกด้วยครับ 



สุดท้ายก็ถึงเวลาบุฟเฟต์ดินเนอร์ครับ อาหารเหมือนบ้านเรามาก มีปลาเค็มทอดด้วย กล้วยน้ำว้าต้มก็มี  แต่อร่อยจริง แต่คงเป็นเพาะหิวด้วยเลยฟาดซะเยอะเลย พวกเราให้ทิปน้องไกด์ที่พากรุ๊ปเราเที่ยวคนละ 100 บาท ให้เงินไทย เพราะเผื่อน้องเขาอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย 



ขากลับ ตาคนขับพาเรามาเที่ยว Signal Hill  อีกรอบ มองเห็นวิวเมืองโคตา คินาบาลูยามค่ำคืนครับ แล้วก็นัดคนขับรถให้มารับเราตอนเช้าตอน ตี 5 เพราะเราต้องเดินทางไปเมือง Sandakan ตอนเช้าตรู่ครับ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน AK6092 ตอน 7:05 นาฬิกา  คนขับเขาคิดพวกเรา 45 ริงกิต ก็ตกลงครับ เพราะถือว่าเขามารับตอนเช้า (ตอนขามาจากสนามบินจ่ายมาแต่ 30 ริงกิต) 

อ่านบทความถัดไป เดินทางจาก Kota Kinabalu ไป Sandakan เดินทางไป Uncle Tan Camp
อ่านบทความก่อนหน้า เที่ยว Poring Hot Spring & Canopy Walk Way 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น